แม่นุ้ยกับปะป๊าพาปั้นไปหาคุณหมอประกอบเกียรติ หิรัญวิวัฒน์กุล
ที่
รพ.ตา หู คอ จมูก เมื่อวันเสาร์ที่ 30 มิ.ย. 2555
เพื่อจะนัดวันผ่าตัดเอาต่อมทอนซิล
และต่อมอะดินอยด์ที่โตออก
น้องปั้นมีต่อมอะดีนอยด์โตกว่าเด็กปกติ 4 เท่า
ทำให้ช่องทางเดินหายใจตีบ
เวลานอนหลับจะกรนเสียงดังมาก
มีอาการกัดฟันร่วมด้วย กัดฟันที เสียงดังน่ากลัวมาก
ซึ่งปั้นจะเป็นมาตั้งแต่อายุน้อยๆ ยังไม่ครบ 1 ขวบดีเลย
รวมทั้งเวลานอนหลับจะดิ้นไปทั่วที่นอน
นอนด้วยท่าแปลกๆ ยกแข้งยกขาตัวอ่อนเหมือนนักยิมนาสติกลีลา
นอนอ้าปาก และบางครั้งจะมีอาการหายใจลำบาก
พอได้เข้าห้องตรวจ ดูฟิล์ม X-Ray อีกที
คุณหมอก็ถามว่าจะผ่าวันไหน วันนี้ก็ผ่าให้ได้
ก็เป็นอันว่า ผ่าวันนี้ทันที เลย Admit เตรียมตัวผ่าเลย
ต้องงดน้ำ งดอาหารทันที เป็นเวลา 6 ชั่วโมง
เพราะต้องดมยาสลบด้วย
ปั้นต้องไปตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะก่อน
หลังจากนั้น ก็ไปรอที่ห้องพัก จนกว่าจะถึงเวลา
ยังต้องรออีก 3-4 ชั่วโมง แนะ
ช่วงนี้ ปั้นก็หิวน้ำ หิวข้าว ก็ต้องคอยหลอกล่อ
เพราะหมอสั่งห้ามทาน มิฉะนั้นจะอันตราย
|
ห้องเดี่ยว |
|
ที่นอนเสริม |
|
รอเวลา |
|
ซื้อหนังสือมาฆ่าเวลา เพราะปั้นหิวมาก |
พอราวๆ 6 โมงครึ่ง ปั้นเพิ่งงีบหลับไปได้ 5 นาที
ผู้ช่วยก็มาเรียกว่า ได้เวลาเข้าห้องผ่าตัด
ปั้นก็เริ่มงอแง เพราะรู้แล้วว่า จะต้องไปผ่าตัด
แต่ในที่สุด ก็ยอมเปลี่ยนชุดและไปแต่โดยดี
|
แปลงร่าง เตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด |
|
ชิ้นเนื้อของต่อมทอนซิลที่ตัดออกมาจากคอปั้นค่ะ ขนาดใหญ่เท่ากับผลมะยม | | |
|
มีประมาณ 6-7 ชิ้น (คุณหมอบอกว่าทอนซิลโต มว้ากกกกกก!) |
ปั้นเริ่มผ่าตัดประมาณทุ่มเศษ
ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 40 นาที
หลังจากหมดฤทธิ์ยาสลบ ปั้นร้องไห้ดังมากๆ
ดังออกมาด้านนอกห้องผ่าตัดเลย คงจะเจ็บแผลผ่าตัดนั่นเอง
กว่าจะเงียบได้ ก็ต้องใช้เวลาราว 30-40 นาที
หลังจากผ่าตัดใหม่ๆ หมอสั่งห้ามร้อง ห้ามพูด ห้ามไอ
ให้กินน้ำแข็ง กินน้ำเยอะๆ กินไอศกรีม แผลจะได้หายไวๆ
ต้องกินอย่างนี้ 3-5 วัน รวมทั้งกินยาร่วมด้วย
หมอให้นอนที่ รพ. 1 คืน และกลับไปพักฟื้นที่บ้านต่ออีก
หมอให้หยุดเรียน 10 วัน แล้วนัดดูแผลอีกที อาทิตย์หน้า
|
หลังผ่าตัด กลับมาพักที่ห้อง |
|
น้องปั้นเก่งมาก
4 กรกฎาคม 2555--แวะมา update อาการปั้นค่ะ
น้องปั้นออกจากโรงพยาบาล เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2555 ก็กลับบ้านค่ะ
ไม่พูดไม่จา ไม่ยอมทานอะไรเลย อยู่ 2 วันเต็มๆ คงจะระบมที่แผลผ่าตัด
หิว ก็ หิว แต่ก็อึด คงจะกลืนลำบากมาก เลยไม่ยอมทานอะไร (แม่แอบกังวลมากๆ)
แม้กระทั่งยาที่คุณหมอสั่งมาให้ก็ไม่ทานเลย ที่นี้ก็ได้แต่เฝ้าระวังไม่ให้มีไข้
เพราะการมีไข้นั่นแปลว่าแผลอักเสบ นั่นเอง
แต่ทุกอย่างก็ดูจะไปได้สวยค่ะ..... ปั้นไม่มีไข้
เข้าวันที่ 3 ปั้นเริ่มอยากทานไอติมค่ะ
คุณหมอเน้นว่าให้เป็นไอติมล้วนๆ เช่นรสวนิลา หรือรสนม ไม่ควรจะเป็นรส ช็อกโกแลต
เพราะหากเด็กเกิดอาเจียน จะได้เห็นชัดเจนว่ามีเลือดปนออกมารึเปล่า
วันที่ 3 นี้นอกจากจะทานไอติม ปั้นก็จิบน้ำได้เยอะขึ้น
พอตกเย็นเริ่มขอทานโจ๊กค่ะ (แม่เริ่มสบายใจ อิอิ)
คุณหมอก็แนะนำอีกว่า ควรให้เด็กทานอาหารเหลว หรืออาหารอ่อนๆ ไปซักระยะ
จะลดการเกิดการสำลัำก ซึ่งอาจจะทำให้แผลเลือดออกได้
แต่พอเข้าวันที่ 4 ปั้นจัดเต็มค่ะ... ทานน้ำทานไอติมทานโจ๊กได้เยอะมาก
เฮ่อ.... จะกู้น้ำหนักปั้นที่หายไปซะที
แต่ความต่าง ที่ดีขึ้นมากๆ คือ ปั้นหลับเงียบมาก ไม่มีเสียงกรนดังเหมือนเคย
ดูท่าจะหลับสบายเพราะไม่ดิ้นไปดิ้นมา ไม่นอนอ้าปาก
โดยรวมถือว่าพฤติกรรมการนอนดีขึ้นมากถึงมากที่สุด ^-^
อยากฝากถึงคุณพ่อ คุณแม่ที่กำลังสับสน และหาข้อมูล หรือกลัว ไม่กล้าให้ลูกทำผ่าตัด
จากประสบการณ์ตรงส่วนตัวนะคะ.... ขอเน้นว่าประสบการณ์และความเชื่อส่วนตัว!!
คุณหมอเด็ก กับคุณหมอเฉพาะทาง ถึงแม้จะวินิจฉัยโรคได้ใกล้เคียง หรือเหมือนกัน
แต่ !! คำแนะนำในการรักษาโรค ค่อนข้างจะต่างกันค่ะ
เพราะเคสของปั้น คุณหมอเด็กก็เห็นว่าทอนซิลโต แต่ก็แนะนำว่าให้รอดูซักพัก อาการอาจจะดีขึ้น
ถ้าเป็นหวัดบ่อย (เนื่องจากติดเพื่อนที่โรงเรียน) ก็ให้ทานยาตามอาการ
ส่วนคุณหมอเฉพาะทาง (ด้าน หู ตา คอ จมูก) ให้ปั้นทำ x-ray
พอเห็นฟิล์ม x-ray ก็ฟันธงทันทีค่ะ ว่าการทำผ่าตัด จะทำให้อาการปั้นดีขึ้น 99%
ซึ่งตัวแม่เอง ก็ทำผ่าตัดทอนซิลและอะดินอยด์โต ที่รพ.ศิริราช ตั้งแต่อนุบาลเหมือนกันค่ะ
ทั้งๆที่ คุณหมอเด็กประจำตัวก็ไม่แนะนำให้ทำ แต่คุณหมอเฉพาะทาง ที่ศิริราชก็ฟันธงว่าควรทำ
หรืออย่างเคส "ป้อน" ลูกชายคนเล็ก (ตอนนี้ 1.4 ขวบ)
ที่เป็นก้อนซีสต์ที่คอตั้งแต่เกิด
คุณหมอเด็กก็บอกว่า ไม่เป็นอันตราย ไว้ตอนโตค่อยว่ากันว่าจะทำผ่าตัดหรือไม่
แต่คุณหมอศัลยกรรมเด็ก (นพ.ไพศาล เวชชพิพัฒน์) ก็ฟันธงว่าควรทำผ่าตัด
สุดท้าย ป้อนก็ทำผ่าตัดที่ รพ. จุฬา เมื่อเดือน เมษายน 2555 ที่ผ่านมาค่ะ
ตอนนี้ก็ร่าเริงแจ่มใส แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อยเหมือนตอนมีซีสต์อยู่ที่คอ
อย่างน้อยหา second opinion หรือการรักษาอื่นซึ่งทางเลือกทางการแพทย์ สำหรับลูกก็ดีนะ
จะได้ตัดสินใจได้ว่าจะรักษาลูกด้วยวิธีไหน |